การระเบิดของลูกอุกกาบาตขนาด 17 เมตร น้ำหนักราว 10,000 ตัน เหนือท้องฟ้าเมืองเชเลียบินสค์ ในประเทศรัสเซีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้บาดเจ็บกว่า 1,000 คน ส่วนใหญ่ได้รับอันตรายจากเศษกระจกที่แตกกระจาย เนื่องจากแรงระเบิดดังกล่าว
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters พบว่า การระเบิดของลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่เหนือท้องฟ้าเมืองเชเลียบินสค์ ได้ก่อให้เกิดคลื่นกระแทก ขนาดใหญ่ และทำให้เกิดคลื่นเสียงความถี่ต่ำ เดินทางไปไกลรอบโลกได้มากถึง 2 รอบ
นักวิจัยได้ข้อมูลจากเครือข่ายระบบเฝ้าระวังระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอส) ที่ดำเนินการโดยองค์การสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองอาวุธ นิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ (ซีทีบีทีโอ) โดยสถานีตรวจจับจะทำหน้าที่ค้นหาคลื่นเสียงความถี่ต่ำ หรือ อินฟราซาวด์ ที่อาจเกิดจากระเบิดในการทดลองนิวเคลียร์ แต่ระบบสามารถตรวจจับการระเบิครั้งใหญ่ได้จากแหล่งอื่นๆ ที่รวมถึงการระเบิดของอุกกาบาตในครั้งนั้น
นายอเล็กซิส เลอ พิชอง จากสำนักงานคณะกรรมการพลังงานปรมาณูฝรั่งเศสและทีมงาน ได้รายงานว่า พลังงานจากการระเบิดเทียบเท่าได้กับระเบิดทีเอ็นทีขนาด 460 กิโลตัน ที่นับเป็นการระเบิดที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการรายงาน นับตั้งแต่การเกิดเหตุการณ์อุกกาบาตถล่มในทุ่งทังกัสกา ในเขตไซบีเรียของรัสเซีย เมื่อปี 1908 ที่ทำให้ป่าถูกเผาราบเป็นหน้ากลองกินพื้นที่กว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น